ค่าคอมมิชชั่น - AN OVERVIEW

ค่าคอมมิชชั่น - An Overview

ค่าคอมมิชชั่น - An Overview

Blog Article

สำหรับประเด็นนี้ก็มีส่วนในการเลือกคอมมิชชันหรือเงินเดือนเป็นอย่างมาก เพราะการจ่ายค่าคอมของสินค้าและบริการของแต่ละบริษัทไม่เหมือนกัน บางบริษัทจ่ายพร้อมกับเงินเดือน อาจจะทำให้เงินเดือนไม่สูงนักเพราะได้ค่าคอมมิชชั่นทุกเดือนอยู่แล้ว แต่หากมีการจ่ายคอมมิชชั่นในแบบไตรมาส หรือรายโปรเจกต์ อาจจะให้เงินเดือนที่สูงเป็นต้น

บางบริษัทเองนั้นมักจะมองในมุมของบริษัทก่อน และดูว่าบริษัทต้องการยอดขายเท่าไร แล้วก็เอายอดนั้นมาเฉลี่ย ๆ ให้กับนักขายทุกคนทำให้ได้ตามนั้น ซึ่งเอาเข้าจริงการขายไม่ได้เป็นเรื่องที่ง่ายขนาดนั้น หลายครั้งบริษัทเองไม่ได้มองถึงสภาพตลาด หรือแม้กระทั่งยอดขายในไตรมาสก่อน ๆ  การตั้งเป้าที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเช่นนั้นจะทำให้นักขายรู้สึกว่ามันเป็นเป้าที่ยากต่อการจะทำได้ และสุดท้ายนักขายก็จะค่อย ๆ หมดกำลังใจในการขายไปเรื่อย ๆ จะเห็นได้ว่าไม่เป็นผลดีกับองค์กรเลย

ไขข้อสงสัย คิดค่าคอมมิชชั่น ต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง?

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานที่ดี อ่านรายละเอียดการใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว ของเรา

อย่างที่เราเกริ่นไว้ในตอนต้น การจ่ายค่าคอมมิชชั่นนั่นเอาจริง ๆ แล้วเป็น activity ที่เหมือนง่าย แต่ก็กลับซับซ้อนเอามาก ๆ วันนี้เราเองก็ได้มาแนะนำถึงสิ่งที่ต้องคำนึงก่อนการตัดสินใจคิดค่าคอมมิชชั่น สุดท้ายนี้ก็ทุกท่านก็อย่าลืมนำเอาเทคนิคไปปรับใช้กัน และสร้างระบบจ่ายค่าคอมมิชชั่นที่สร้างแรงจูงใจให้กับพนักงานได้อย่างแท้จริง

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้อดี: เซลจะมีรายได้ที่มั่นคง ค่าคอมมิชชั่นมาจากความขยันของเซล

ดังนั้น เมื่อบริษัทฯจ่ายค่านายหน้าให้กับบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลซึ่งมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย

วิธีนี้จึงเป็นวิธีที่ดีที่ทำให้เจ้าของหรือผู้จัดการมั่นใจว่าการขายแต่ละครั้งจะมีผลกำไรเหลืออยู่หลังจากที่แบ่งจ่ายผลประโยชน์ให้กับนักขายแน่นอน และการขายที่มีมูลค่าสูงจนต้องทำราคาแข่งกับคู่แข่งแบบรุนแรงก็ยังจะทำให้คุณสามารถรักษาผลกำไรเอาไว้ได้อย่างหนาแน่นครับ

ข้อดี: ยุติธรรมกับเซลที่มีประสิทธิภาพการทำงานสูง กระตุ้นให้เซลอยากให้บริการลูกค้าดีๆ ทำให้ผลงานสอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัท

สรุปคือ หากจ่ายโดยไม่คำนึงว่าต้องทำดีกว่ามากว่ามาตรฐานปกติ คือทำมากทำน้อยก็จ่าย หากทำมากก็จ่ายมากทำน้อยก็จ่ายน้อย ไม่ถือเป็นแรงจูงใจ เช่น บริษัท ก มีหลักเกณฑ์การจ่ายค่านายหน้าแก่ลูกจ้างที่ขายสินค้าได้ไม่ว่าจะขายได้มากหรือน้อยก็จ่าย แต่หากขายได้น้อยจะจ่ายในอัตราที่ต่ำ ยิ่งขายได้มากก็ยิ่งจ่ายมากขึ้นในอัตราก้าวหน้า กรณีนี้เงินค่านายหน้าที่จ่ายไม่ถือว่าเป็นการจ่ายเพื่อจูงใจ เพราะจะขายได้มากหรือน้อยกว่ามาตรฐานปกติก็จ่ายทั้งสิ้น เงินนายหน้าดังกล่าวถือว่าเป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงาน จึงเป็นค่าจ้าง

รับคำปรึกษาด้านอาชีพจากผู้เชี่ยวชาญส่งตรงถึงอินบ็อกซ์ของคุณ

ด้วยเหตุที่ “ฐานค่าจ้าง” จำนวนมากหรือน้อย ส่งผลกระทบต่อสิทธิและหน้าที่ผู้ประกันตนและนายจ้าง ประกอบกับในแต่ละเดือนนายจ้างได้มีการจ่ายค่าตอบแทนให้ลูกจ้างในลักษณะอื่น ๆ นอกจากเงินเดือน โดยเรียกชื่อแตกต่างกัน เช่น ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าคอมมิชชั่น ค่าโทรศัพท์ ค่าความร้อน เงินจูงใจ เบี้ยขยัน หรือเงินรายได้พิเศษแบบจูงใจ ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร ค่าคอมมิชชั่น หากเงินที่จ่ายในลักษณะอื่น ๆ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการตอบแทนการทำงานของลูกจ้าง ในวันและเวลาทำงาน ปกติ ของวันทำงาน และรวมถึงวันหยุดและวันลาที่เป็นสิทธิของลูกจ้างตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ย่อมถือเป็น “ค่าจ้าง” ที่ต้องนำมารวมเป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบทั้งสิ้น

อีกสิ่งหนึ่งที่บริษัทมักจะทำผิดพลาดกันก็คือ การที่แผนการจ่ายค่าคอมนั้นไม่ชัดเจน สร้างความมึนงงให้กับพนักงานขาย ว่าสรุปแล้วจะได้ค่าคอมเท่าไรกันแน่ นอกจากจะสร้างความมึนงงแล้วยังทำให้การไปใช้งานจริงทำได้ยากอีกด้วย ลองคิดภาพตามเช่นหากเป็นเกมกีฬาสักเกมหนึ่งเป็นเกมที่ซับซ้อนมีกฏมากมายเต็มไปหมด จนแม้แต่นักกีฬาก็ยากที่จะจดจำกฏได้ สุดท้ายพวกเขาก็จะไม่ใส่ใจในกฏนั้น การขายก็เช่นเดียวกัน ถ้าอยากให้พนักงานสามารถแสดงประสิทธิภาพได้มากที่สุดนั้น ก็ควรทำให้มันง่าย ชนิดที่ว่านักขายสามารถตอบได้ทันทีว่าถ้าเดือนนี้เราทำยอดได้เท่านี้ ค่าคอมเราจะได้เท่าไร

Report this page